http://www.free108.net เปลี่ยนเป็น http://www.free108.info
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
เข้าสู่ระบบ(Log in)

ลืม(forget) password

November 2024
MonTueWedThuFriSatSun
    123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 

Calendar Calendar


::: อวสานแห่งศาสนาทั้งปวง ::: (เหลือเพียงศาสตร์แห่งความจริง)

Go down

::: อวสานแห่งศาสนาทั้งปวง ::: (เหลือเพียงศาสตร์แห่งความจริง) Empty ::: อวสานแห่งศาสนาทั้งปวง ::: (เหลือเพียงศาสตร์แห่งความจริง)

ตั้งหัวข้อ  free108 Thu Dec 18, 2008 3:42 am

::: อวสานแห่งศาสนาทั้งปวง :::
พี่น้องที่รักทุกท่าน เชื่อว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่นับถือศาสนา ไม่ว่า จะนับถือศาสนาเดียว หรือ หลายศาสนา
น้อยคนนัก ที่มิได้นับถือศาสนาใดๆ

แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าในวันนี้ ในยุคนนี้ ศาสนาทั้งหลาย ที่ ผู้คน ต่าง นับถือ ปฏิบัติตาม กันนั้น ได้หมด วาระหรือ หมดยุคแล้ว
นั้น หมายถึง การนับถือ ศาสนาใดๆก็ตามไม่สามารถ นำพามนุษย์ ไปสู่ความรอดพ้น หรือการหลุดพ้น
หรือความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย ของแต่ละศาสนาได้เลย

จุดมุ่งหมาย หรือ เป้าหมาย ของแต่ละศาสนา หากจะมองอย่างผิวเผิน อาจเห็นว่า แตกต่างกันแต่หาก พิจารณา ให้ละเอียด ลึกซึ้ง จะพบว่า ศาสดาทั้งหลายที่สอนผู้คนในแต่ละยุค มีจุดมุ่งหมายที่จะนำพามนุษย์ ไปสู่จุดหมายเดียวกัน
แต่อาจจะเรียกแตกต่างกันเท่านั้น เช่น

- พุทธศาสนา สอนให้ผู้คนบรรลุวิมุติ หรือ นิพพาน

- ศาสนาพราหมณ์ สอนให้ผู้คน บรรลุ โมกษะ หรือ เป็น หนึ่งเดียว กับ พรหม

- ศาสนาคริสต์สอนให้ ผู้คน ได้รับชีวิต นิรันด์ อยู่กับ พระเจ้า

- ศาสนาอิสลาม สอนให้ผู้คน ศรัทธา และ ปฏิบัติ เพื่อจะได้รับสวรรค์ ณ พระผู้เป็นเจ้า

- ศาสนาเต๋า สอนให้ผู้คน เป็นหนึ่งเดียวกับ เต๋า

เหล่านี้เป็นต้น

แม้ว่าการบรรลุ ชั้นสูงสุด ของแต่ละศาสนา จะเรียกแตกต่างกันไป แต่โดยความจริง แล้ว คือ จุดอันเดียวกันคือ สิ่งสูงสุด
ซึ่ง

พุทธ เรียกว่า "ธรรม" แปลว่า "ความจริงแท้"
พราหมณ์ เรียกว่า "พรหม" แปลว่า "สิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่สุด"
คริสต์ เรียกว่า "ยะโฮวา" และ "เอลลา" หมายถึง "พระเจ้า"
อิสลามเรียกว่า "อัลลอฮ" แปลว่า "พระผู้เป็นเจ้า"

ในความจริง สิ่งสูงสุด ดังกล่าวนี้ เป็น อันเดียวกัน กล่าวคือ คำว่า "พุทธ" แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"
หมายถึงผู้รู้ใน "ธรรม" คำว่า "ธรรม" แปลว่า "ความจริง" ตรงกับ ภาษา อาหรับ คือ คำว่า "อัลฮัก" คำว่า "อัลฮัก" เป็นนามหนึ่ง ของ "อัลลอฮ" คำว่า "อัลลอฮ" แปลว่า "พระผู้เป็นเจ้า" ตรงกับ ภาษา ฮิบรู ที่เรียกว่า "เอลลา" และ "ยะโฮวา"

คำว่า "ยะโฮวา" หมายถึง "พระเจ้า"
คำว่า "พระเจ้า" เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับ คำว่า "พรหม"
คำว่า "พรหม" มาจากคำว่า "ปรมาตมัน" แปลว่า "ตัวตนที่ยิ่งใหญ่"
เป็นคำ ผสม ระหว่าง คำว่า ปรมะ + อาตมัน
คำว่า ปรมะ(ปรม) หรือ บรมะ(บรม) หรือ พรมะ แปลว่า "ใหญ่" หรือ "ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร"
ภาษาไทย เรียก ว่า "พระ" แปลว่า "ยิ่งใหญ่"
คำว่า "อาตมัน" หรือ "อัตตา" แปลว่า "ตัวตน"
ดังนั้น คำว่า "พระเจ้า" มาจาก คำว่า พระ + เจ้า
คำว่า พรหม มาจาก พรมะ + อัตตา
คำว่า พระเจ้า หมายถึง ผู้ที่เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่
คำว่า พรหม หมายถึง ผู้ที่ยิ่งใหญ่
คำว่า พระเจ้า ตรง กับ ภาษาอาหรับ คือ คำว่า อิลาฮ
คำว่า พระเจ้าองค์เดียวนั้น ตรงกับ ภาษาอาหรับ คือ คำว่า อัลลอฮ


อัลลอฮ นั้นมีนามอยู่ มากมาย ตามคำสอน ของท่านศาสดามุฮัมหมัด และนามหนึ่งของ อัลลอฮ คือ คำว่า "อัลอาลีม" แปลว่า ผู้ทรงรู้อย่างมากมายตรงภาษาบาลีสันสกฤต คือ คำว่า "บุดดา" หรือ "พุทธ" นั่นเองและอัลลอฮ มีนามอีกว่า "อัลอะซีม" แปลว่า "ผู้ทรงยิ่งใหญ่"ตรงกับภาษา บาลีสันสกฤต คือ คำว่า "พรหม"คำว่า บุดดา หรือ พุทธ ณ ที่นี้ มิได้หมายถึง ตัวบุคคลแต่หมายถึง ภาวะ ของบุคคลที่บรรลุ ถึง ธรรม หรือ บรรลุ อรหันต์ พระพุทธเจ้า ที่นิกาย เถรวาท ที่คนไทย ส่วนใหญ่นับถือนั้น มีนามว่า "สิทธัตถะ"ไม่ได้มีนามว่า "พุทธเจ้า" แต่เมื่อท่านสิทธัตถะ บรรลุ ถึง ธรรม จึงเรียกว่า บุดดา หรือ พุทธะ

คำว่า " พรหม " ก็ไม่ได้ หมายถึงตัวบุคคล แต่หมายถึงความจริง อันเป็นสิ่งสูงสุด อยู่ในสภาวะ วิญญาณ หมายถึง สิ่งที่ตรงข้ามกับ วัตถุ อันเป็น วิญญาณ สากล คือเป็นวิญญาณ ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง (ตามคำภีร์ เวทันตะ หรือ อุปนิษัท อันเป็น รากฐาน ของพุทธศาสนา) ซึ่งตรงกับคำสอน ของพระเยซู ที่กล่าวว่า "พระเจ้า ทรงเป็๋น วิญญาณ"

คำว่า พระเจ้า , พรหม คือ ภาวะแห่งวิญญาณ สากล ซึ่งการบรรลุ ถึงนั้น คือ การบรรลุ ทางจิตวิญญาณ ผู้ที่บรรลุ ถึง พระเจ้า ถึงพรหม ถึงพุทธ จะเป็นผู้ที่รู้ ถึงแก่นธรรม เป็นผู้ที่ตื่น เป็นผู้ที่เบิกบานไร้ทุกข์ คือ นิพพาน เป็นผู้ที่ไม่ตายในทางจิตวิญญาณ จึงเป็นที่ได้รับชีวิตนิรันด์เป็นสภาพของผู้ที่อยู่ในสวรรค์ หรือ อาณาจักรแห่งพระเจ้า

แต่ พี่น้องที่รักทั้งหลาย เชื่อว่า ท่านทั้งหลาย คือ ผู้ที่นับถือศาสนา ใดศาสนาหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่ง และ ณ วันนี้ หากท่านนับถือ พุทธศาสนา อยากทราบว่า ศาสนาพุทธ นำท่านสู่ นิพพาน หรือยัง? หากท่านนับถือ คริสตศาสนา ศาสนาคริสต์ นำท่านสู่ อาณาจักรแห่งพระเจ้าอันเป็นชีวิตนิรันด์แล้ว หรือยัง? หากท่านนับถือ ศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลาม นำท่านสู่ สวรรค์ แล้ว หรือยัง? หากท่านนับถือ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์ นำท่านสู่ โมกษะแห่งพรหม แล้ว หรือยัง?

คำตอบ คือ ยัง ! และไม่มีทางที่ศาสนาของท่าน จะนำท่านสู่เป้าหมาย ของศาสนาท่านได้อีกแล้ว

หากท่านว่าไม่จริง แล้วความจริง คือ ภิกษุสงฆ์ท่านใด ที่ บรรลุนิพพานแล้ว หากท่านเป็นฆราวาทท่านย่อมอยู่ ห่าง จากนิพพานอีกไกลโข แม้แต่ภิกษุสงฆ์ ยังไปไม่ถึง ผู้ที่กำลังเดินทาง แสวงหา(สงฆ์)ยังไปไม่ถึงแล้วผู้ที่อยู่กับที่ (ฆราวาท)จะไปถึง ได้อย่างไร

แต่ภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน คือ ทั้งสงฆ์ และฆราวาท ยังเป็นผู้ที่ ครอบครอง ทรัพย์ เกียรติ อันมากมาย และยังอยู่ในกิเลส ซึ่งเป็นสิ่งที่กีดขวางการบรรลุนิพพานและสุดท้าย คือ การยึดอยู่กับ กลุ่ม , พวก, ลัทธิ , และชื่อของ ศาสนา ทั้งๆที่ พระพุทธองค์ ไม่ได้มาตั้งลัทธิ แต่มาบอกสัจธรรม ความจริง เท่านั้น

การบรรลุ ถึงแก่นธรรม คือ ต้องหลุดพ้นจาก ชื่อของ ศาสนา ลักษณะของพิธีกรรม, รูปแบบหรือ เครื่องหมายใด ๆ
ให้คงเหลือ ใว้แต่ ธรรม หรือ สัจจะ ความจริงเท่านั้น


แก้ไขล่าสุดโดย free108 เมื่อ Thu Dec 18, 2008 3:45 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
free108
free108
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 304
Join date : 19/08/2008

ขึ้นไปข้างบน Go down

::: อวสานแห่งศาสนาทั้งปวง ::: (เหลือเพียงศาสตร์แห่งความจริง) Empty Re: ::: อวสานแห่งศาสนาทั้งปวง ::: (เหลือเพียงศาสตร์แห่งความจริง)

ตั้งหัวข้อ  free108 Thu Dec 18, 2008 3:44 am

คริสตศาสนา สอนให้ บรรลุ ถึง พระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันด์ และอยู่ในอาณาจักรแห่งพระเจ้าในวันนี้ พี่น้อง ชาวคริสต์ท่านใดที่ได้รับชีวิตนิรันด์แล้ว และ อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว ที่ปรากฏคือ คริสตศาสนาได้แตกแยก และเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จาก ชาวยุโรป หรือตะวันตก ทั้งที่เป็น แกนของคริสตศาสนามาเป็นเวลาอันยาวนาน

-ศาสนาอิสลาม-

สอนให้เชื่อและปฏิบัติ เพื่อสะสมผลบุญ เก็บเอาไว้รับผลในโลกหน้า โลกแห่งการตัดสินพิพากษา การกระทำ และหวังว่า จะได้เข้าสวรรค์ ตามที่พระเจ้าอัลลอฮ ทรงสัญญา เอาไว้ แต่ในคำภีร์ อัลกุรอาน ของศาสนาอิสลาม กลับไม่มีคำว่า "โลกหน้า" เลย แม้แต่ที่เดียว รวมทั้งวจนะ (ฮะดีษ) ของท่าน ศาสดามุฮัมหมัด ก็ไม่ได้กล่าวถึง คำว่า โลกหน้า แม้แต่ ครั้งเดียว

คำที่ ศาสนาอิสลามนำมาสอน ว่า โลกหน้า คือ คำว่า "เยามุลอาคิร" "เยามุลกิยามะห์" "ยามุล บะอษฺ" "อัลอาคิเราะห์" "เยามุลอาซีม" แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีคำใด ที่มีความหมายว่า "โลกหน้า" แม้แต่ที่เดียว คำว่า โลกหน้า ในภาษาอาหรับ คือ คำว่า "อะลามุลกอดิม" คำ คำนี้ไม่มีอยู่ ทั้งใน กุรอาน และ วจนะ(ฮะดีษ) ของท่านศาสดามุฮัมหมัดเลย

แล้ว เหตุการณ์ ของ เยามุลอาคิร , กิยามะห์เกิดขึ้นที่ไหน ?
คำตอบ คือ อยู่ที่นี่ และตอนนี้แล้ว แต่ศาสนาอิสลาม ยังสอนให้รอคอย โลกหน้าทีไม่มีวันจะมาถึง และไม่มีอยู่ (เพราะไม่มีกล่าวไว้ ทั้งในกุรอาน และ ฮะดีษ)

คำว่า เยามุลอาคิร แปลว่า วัน , วาระ , หรือ ยุค สุดท้าย
คำว่า เยามุลกิยามะห์ แปลว่า วัน , วาระ ,ยุคแห่งการลุกขึ้น
คำว่า เยามุลบะษฺ แปลว่า วัน , วาระ , ยุค แห่งการฟื้น
คำว่า อัลอาคิเราะห์ แปลว่า สุดท้าย , ในที่สุด

และศาสนาอื่นๆทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ไม่สามารถนำพามนุษย์ ไปสู่เป้าหมายได้อีกแล้ว แม้ว่าจะพาไปได้บ้าง แต่เป็นเพียงรายบุคคล ที่มีเปอร์เซ็นต่ำจนไม่สามารถเห็นได้เลย เพราะเหตุใด คำตอบ คือ เพราะหมดวาระของ ศาสนาทั้งหลายแล้วนั่นเอง

หากมองผิวเผิน ถือว่า นี่คือการ ทำลาย ศาสนา แต่หากมองให้ละเอียดลึกซึ้ง จะพบว่า นี่คือ การ เชื่อ การศรัทธา ประจักษ์ และยืนยัน ใน สัจจา ของบรรดา ศาสดาทั้งหลาย

เพราะท่านศาสดาทั้งหลาย ได้บอกกล่าวไว้ ถึง วาระของ การสิ้นสุด รูปแบบคำสอน ของแต่ละท่าน
เนื่องจากเวลาที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ มิได้ หมาย ถึง สัจธรรม ที่นำมา จะหมดวาระ แต่หมายถึง คำสอนของแต่ละท่านนั้นเสื่อมลง จนไม่อาจ พบแก่นแท้ ดั้งเดิม ของแต่ละท่านได้อีกแล้ว เช่น

พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า อายุของพุทธกาลนั้น มี 5000 ปี และเมื่อ มาถึง กึ่งพุทธกาล คำสอนของพระพุทธองค์ จะเสื่อมลง จนผู้คนไม่สามารถจะพบ ความจริง หรือ สัจจะในคำสอน ของพระองค์ ได้อีกแล้ว

ข้อพิสูจน์ ก็คือ วิธีการ ที่ยังคงเหลืออยู่ไม่สามารถ นำพาผู้คนสู่เป้าหมาย คือ นิพพาน ได้อีกแล้ว (ตรงกันข้าม จะเห็นได้ว่าพี่น้องชาวพุทธ กลับกลายเป็นผู้งมงาย ไร้เหตุผลมากมายดาษดื่น) และจะมี พุทธ องค์ใหม่ มาสอนแทน เมื่อถึงตอนนั้น คือ กึ่งพุทธกาล ของ5000 ปี คือ 2500 ปีหลังจากพระพุทธองค์ ได้จากไป

-คริสตศาสนา-

สอนว่า เมื่อ พระเยซูจากไปแล้ว ในอนาคต ข้างหน้าพระองค์ จะกลับมาอีกครั้ง จะนำพาผู้คนไปสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าอีกครี้ง
ทำไม ที่พระคริสต์ จะกลับมาอีก คำตอบคือ เพราะคำสอนของท่านได้เสื่อมลงหมดแล้ว พระองค์ จึงต้องกลับมาสอนอีก ต้องกลับมานำผู้คนไปสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าอีกครั้ง หากคำสอนของพระองค์ยังไม่เสื่อมหากผู้คนสามารถเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า ได้โดยไม่ต้องพึ่งพระองค์แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่พระองค์ จะต้องกลับมาอีกครั้ง

-ศาสนาอิสลาม-

ท่านศาสดามุฮัมหมัด ได้กล่าวใว้อย่างชัดเจน ว่า คำสอนของท่านนั้น มีความถูกต้องและชัดเจน ในระยะเวลาอันสั้น เท่านั้น แล้วหลังจากนั้น คำสอนของท่านก็จะเสื่อมลง จนผู้คนไม่สามารถพบความจริง หรือบรรลุเป้าหมายได้อีกเลย

ท่านกล่าวไว้ว่า "ศตวรรษที่ดีที่สุด คือ ศตวรรษ ของฉัน และถัดไป และที่ถัดไป แล้วหลังจากนั้น ก็จะพบกับการฉ้อฉล และอธรรม ในกลุ่มที่นับถือ ตามแนวทางของฉัน"

นั่นหมายถึง ท่านศาสดามุฮัมหมัด ได้ยืนยันไว้อย่างชัดเจน แล้วว่า แนวคำสอนของท่านนั้น จะเสื่อมลง ในเวลาไม่เกิน 3 ศตวรรษเท่านั้น แล้วหลังจากนั้น ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า คำสอนที่นำมานั้นจะนำพาผู้คนไปสู่เป้าหมายได้อีกแล้ว

เช่น ผู้คน จะไม่รู้ ว่า "พระเจ้า หรือ อัลลอฮ นั้นอยู่ ณ วิญญาณ ของมนุษย์ (บุรุษ) เอง "(กุรอาน) ผู้คนจะไม่รู้ว่า นรกและสวรรค์ นั้น แท้จริงเป็น ปริศนา(มุตะชาบิฮาต) ผู้คนจะไม่รู้ว่า การฟื้นคืนชีพ ในยุคแห่งการ ฟื้น(วันกิยามะห์ ) นั้น แท้จริง คือการกลับมาเกิดใหม่ ในโลก ใบเดิม(กุรอาน) แต่ผู้คนจะแต่งเติมคำสอน และพิธีกรรม ทั้งหลาย(บิดอะห์)จนในที่สุด จะนำพามนุษย์ ไปสู่ความเดือดร้อน(อันนาร = นรก) (กุลลู บิดอะห์ ฎอลาละห์ กุลลู ฎอลาละห์ ฟินนารฺ =ทุกๆ คำสอนที่อุตริ นั้น จะทำให้หลง และทุกๆการหลง นั้นจะทำให้เดือดร้อน) และอุตริกรรม หรือ บิดอะห์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่า จะมี หรือ จะเกิด คือ
การตั้งชื่อ ศาสนา ให้กับคำสอนของ ท่านศาสดามุฮัมหมัด ว่า มีชื่อว่า "ศาสนาอิสลาม" คำคำนี้ ไม่มีอยู่ในคำภีร์ อัลกุรอาน เลยแม้แต่ที่เดียว คำว่า "ศาสนาอิสลาม" ภาษาอาหรับ เรียกว่า "ดีนุลอิสลาม" หรือ "ดีนุลอิสลามียะห์" คำนี้ไม่อยู่ในคำภีร์ อัลกุรอานเลยแม้แต่ที่เดียว ที่มีคือ คำว่า "อัลอิสลาม" แปลว่า "การยอมจำนน" มิได้เป็นชื่อของ ศาสนาเลย หากจะมีชื่อ ศาสนาในอัลกุรอานแล้ว ก็มีแต่คำว่า "ศาสนาแห่งพระเจ้า"(ดีนุลลอฮ) ,ศาสนาแห่งธรรม(ดีนุลฮัก), ศาสนาแห่งความเที่ยงตรง(ดีนุลก็อยยิมะห์) ส่วนคำว่า "ศาสนาอิสลาม" ไม่มีอยู่เลย

แล้วที่มีอยู่ นั้นมาจากไหน?

คำตอบ คือ มาจากปวงปราชญ์ (อุลามาอฺ)ที่มีขึ้น หลังจาก 3 ศตวรรษ ที่ท่านศาสดาได้จากไป นั่นหมายถึง ท่านได้บอกไว้ก่อนแล้วว่าคำสอนของท่านนั้นจะเสื่อมลง และเชื่อ ถือไม่ค่อยได้อีกต่อไป เพราะจะมีแต่การฉ้อฉลเกิดขึ้นมากมาย อาศัยคำสอนที่มีมาจากสมัย ของท่านเป็นที่อ้างอิง

เห็นได้ว่า ประวัติศาสตร์ ในช่วงนั้นเต็มไปด้วยการแก่งแย่งอำนาจ , ขยายอาณาเขต ล่า อาณานิคม แล้วใช้อำนาจ ในการควบคุม เรื่องราวของศาสนาโดยผู้ครองนคร(สุลต่าน/กาหลิบ)เป็นผู้ควบคุม บรรดาปราชญ์ ของศาสนา(อุลามาอฺ)ให้สอนและเผยแพร่ตามนโยบายของผู้ครองนครเท่านั้น หากผู้รู้ท่านใดไม่สนองตามนโยบายของผู้ปกครองแล้ว ผู้รู้ท่านนั้น จะต้องถูกลงโทษ อาจถึงขั้น ประหารชีวิต
free108
free108
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 304
Join date : 19/08/2008

ขึ้นไปข้างบน Go down

::: อวสานแห่งศาสนาทั้งปวง ::: (เหลือเพียงศาสตร์แห่งความจริง) Empty Re: ::: อวสานแห่งศาสนาทั้งปวง ::: (เหลือเพียงศาสตร์แห่งความจริง)

ตั้งหัวข้อ  free108 Thu Dec 18, 2008 3:44 am

นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประวัติ ศาสตร์ ของ "อิสลาม" นับตั้งแต่การจากไป ของท่านศาสดามุฮัมหมัด จนถึงปัจจุบัน

จึงเห็นได้ว่า คำสอน ของศาสดาทั้งหลายทั้งปวง ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถ นำพาผู้คนสู่ อุดมคติ หรือ เป้าหมายที่แท้จริง ของศาสนาทั้งหลายได้อีกแล้ว

ทั้งนี้ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ว่า หมดเวลา หมดวาระ หรือ หมดยุค ของคำสอน ตามวิธีการ ของแต่ละศาสนาแล้ว

และได้เสื่อมลงถึงขีดสุดในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้ว่า ทั้งๆที่สอนว่า ศาสนาทั้งหลายนำพามนุษย์ ไปสู่ ความสุข ความดีงามความจำเริญ ทางจิตวิญญาณ

แต่จะเห็นได้ว่า สถานที่ใด ที่ผู้คนเคร่งครัด ศาสนาแล้วสถานที่นั้นจะเต็มไปด้วย ความยุ่งยาก ความกดดัน ความขัดแย้ง การทะเลาะวิวาท อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และไม่สามารถเอาศาสนาหนึ่งศาสนาใด มาแก้ไข ปัญหาดังกล่าวได้เลย หากแต่ ถ้าเอาศาสนาใดมาแก้ไขแล้วก็เป็นการเพิ่มพูนปัญหาให้มากขึ้น ดังจะเห็นได้จากทั้งโลก แม้แต่บ้านเมือง ของเรา(ประเทศไทย) ณ วันนี้เป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดี

แล้วทางรอดที่แท้จริง คือ อะไร ?

ตอบ.......

ที่กล่าวต่อไปนี้ เป็นการชี้แนะให้ท่านทั้งหลายได้คิด ได้พิจารณา ไตร่ตรองให้เห็นประจักษ์ด้วยปัญญา ของท่านเพื่อจะเป็นทางรอดแห่งชีวิตของท่าน รวมไปถึงชุมชน สังคม บ้านเมือง ประเทศชาติ และทั้งโลกโดยรวม

นั่นคือ ท่านต้องเลิกการยึดติดอยู่กับลัทธิ , นิกาย , ชื่อของศาสนา , กลุ่มของคำว่าศาสนาหนึ่ง ศาสนาใด โดยถือว่า ไม่นับถือ ศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น

แต่ .......
หันกลับคืนสู่ ความจริง , สู่ ธรรม ,สู่สัจจะ ,สู่พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นแก่นแท้แต่เพียงหนึ่งเดียว

คือการถือ ว่า

- สิ่งสูงสุด คือ ธรรม หรือ พระผู้เป็นเจ้า (พรหม ,ยะโฮวา , อัลลอฮ ,เต๋า ,ก็อด (GOD), ตูฮัน ) เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น
- มนุษย์ทั้งผองในโลก เป็น พี่น้องกัน แม้ว่า จะแตกต่างกันในรูปลักษณ์ภายนอกเพียงใดก็ตาม
- แก่นแท้ของศาสดาทั้งหลาย สอนเรื่องเดียวกันต่างกันที่ ภาษา และพิธีกรรม ส่วนย่อยเท่านั้น
- เครื่องหมาย หรือ สัญลักษณ์ ของศาสนาเป็นอุตริกรรม ทั้งสิ้น ซึ่งได้แก่
- ธรรมจักร , พระพุทธรูป มิได้เป็น คำสอนของพระพุทธองค์
- ไม้กางเขน มิได้เป็นคำสอนของ พระเยซูคริสต์
- ดาวเดือน , จันทร์เสี้ยว มิได้เป็นคำสอน ของท่านศาสดามุฮัมหมัด
- คำว่า "พุทธศาสนา" ไม่มีใน พระไตรปิฎก
- คำว่า "ศาสนาคริสต์" ไม่มีในคำภีร์ ไบเบิล
- คำว่า "ศาสนาอิสลาม"ไม่มีในคำภีร์ อัลกุรอาน
- ศาสดาทั้งหลาย สอนว่า "ศาสนาของท่านเหล่านั้น เรียกว่า "ศาสนาแห่งธรรม หรือ ศาสนาแห่งความจริง"
- ศาสดาทั้งหลาย ยอมรับ ศาสดาท่านอื่นว่า เป็น ศาสดาเช่นเดียวกับตน และอยู่ใน ศาสนาเดียวกับ ตน
คือ "ศาสนาแห่งความจริง"

รายละเอียด ในเรื่องดังกล่าว ยังมีอีกมาก

สิ่งที่พอ จะสรุปให้เห็นได้ก็ คือ

ศาสนาทั้งหลายได้ถึงจุดเสื่อม หรือ จุดอวสานแล้ว ผู้ที่ยังนับ ถือ ศาสนา โดยหลับหูหลับตา ไม่ยอมมองโลกแห่ง ความจริง และไม่พิจารณา ด้วย ปัญญา ให้ประจักษ์ แน่นอนที่สุด เขาย่อมอยู่ในความยุ่งยากลำบาก และไม่สามารถ หาทางออกให้กับ ชีวิตได้ อย่างเบ็ดเสร็ด และจะเป็นการก่อเกิด กระบวนการทางสังคม ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคต หรือ แม้แต่ปัจจุบัน

แต่หากทุกคน ถอยห่างออกจากจุดยืน ของตนที่ถูกครอบครองโดย ระบบ ของลัทธิ หรือ ศาสนา มาอยู่ข้างนอก แล้วมองกลับไปอีกที จากมุมมองที่อยู่นอก ศาสนา นอกลัทธิ ทุกลัทธิ ศาสนา แล้วแสวงหาความจริง อันเป็นสัจจะ ของทุกศาสนา มาพิจารณาโดยปราศจาก ความลำเอียง หรือ อคติใดๆแล้ว

ก็จะพบทางออกที่ดีขึ้น กว่าที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน ซึ่งกำลังมืดมน ไม่สามารถ นำพาตน สังคมของตนไปสู่เป้าหมายแห่งชีวิตได้ อย่างแท้จริง ตามที่ตนคาดหวังไว้ ว่าจะได้รับจากลัทธิหรือ ศาสนาของตน

กลับมาสู่ร่มธงอันเดียวกัน คือ

พระเจ้าองค์เดียวกัน
ความเป็นพี่น้องกัน ของมนุษยชาติ
เลิกการอคติ และการดูแคลนผู้อื่น
เลิกการแบ่งแยกลัทธิ ศาสนา
มาแสวงหาความจริง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ มอบความรัก ต่อ พี่น้องของตน คือ มนุษย์ทั้งมวล
ด้วยความเมตตา(เราะห์มาน) คือ มอบความสุข หรือสิ่งที่ดี แก่ผู้อื่น
ด้วยความกรุณา(รอฮีม) คือปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับผู้อื่น
ด้วยมุทิตา(ริฎอ)คือ ความยินดีปรีดา ต่อผู้อื่น
และด้วยอุเบกขา(ตะวักกกัล) คือการปล่อยวาง ไม่ลำเอียง ไม่อคติ
แล้วท่านจะพบว่า โลกแห่งอุดมคติ อยู่ใกล้ แค่เอื้อม
ศาสนาและลัทธิ ทั้งหลาย ได้ หมดสภาพไปแล้ว
คงเหลือ ไว้แต่สัจจะ ความจริง หรือ ธรรม
อันเป็นแก่นแท้ แห่งพระผู้เป็นเจ้า ที่จะนำพาเหล่ามวลมนุษย์ สู่จุดหมายแห่งชีวิต
สู่อุดมคติ ที่ทุกคน คาดหวัง และใฝ่ฝัน ไปได้ชั่วนิจนิรันด์



จากทีมงาน http://www.religionoftruth.fcpages.com
free108
free108
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 304
Join date : 19/08/2008

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ